#หยุดผูกขาดมือถือ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ไทย
หลังมีรายงานว่า วันนี้ (12 ต.ค.65) หัวข้อการควบรวมธุรกิจทรูแล้วก็ดีแทคจะถูกบรรจุในวาระประชุมของคณะกรรมการ กสทช.แล้ว แต่อาจยังลงมติไม่ได้ เพราะว่าต้องศึกษาตัวอย่างจากต่างประเทศเพิ่มเติม
วันนี้ (12 ต.ค.2565) แฮชแท็ก #หยุดผูกขาดมือถือ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ไทย หลังมีรายงานว่า หัวข้อการควบรวมธุรกิจทรูแล้วก็ดีแทคจะถูกบรรจุในวาระประชุมของคณะกรรมการ กสทช.ในวันนี้ โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อนี้กว่า 80,000 ทวีต โดยมีความกังวลเกี่ยวกับการควบรวมของทรูแล้วก็ดีแทคที่อาจนำไปสู่การผูกขาดทางการตลาด ด้วยเหตุว่าผู้ให้บริการที่เหลือเพียงแค่ 2 เจ้าใหญ่ อาจดีลขึ้นราคาค่าบริการ จากที่ผ่านมามีผู้ให้บริการ 3 เจ้าทำให้มีการแข่งขันกันอีกทั้งเชิงความสามารถแล้วก็ราคา
สอดคล้องกับนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Somkiet Tangkitvanich ระบุว่า ประชาชนควรจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะจากการวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์ชี้ชัดว่าการควบรวมก่อให้เกิดผลเสีย ราคาค่าบริการหลังควบรวมอาจสูงขึ้น ร้อยละ 2-23 ในกรณีที่ไม่มีการสมคบราคา หรือ ฮั้วกัน ระหว่างผู้ประกอบการ 2 รายที่เหลืออยู่ แต่หากมีการฮั้วราคา อัตราค่าบริการอาจสูงขึ้นถึง 1.2 เท่า – 2.4 เท่า และ GDP ของประเทศจะหดตัวลง ร้อยละ 0.5-0.6
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้แทนบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น แล้วก็ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น ได้ร่วมกันยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ กสทช. โดย พล.อ.กิตติ เกตุศรี ผู้ปฏิบัติงานประจำประธาน กสทช.เป็นผู้มารับหนังสือ
ผู้แทนของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ระบุว่า ต้องการให้ กสทช.พิจารณาการควบรวมโดยด่วน เพราะว่าผ่านมา 9 เดือนแล้ว แต่ยังไม่มีบทสรุปอย่างเป็นทางการ ซึ่งตามปกติต้องพิจารณาภายใน 90 วัน แล้วก็ความล่าช้าส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคของทรูแล้วก็ดีแทค เพราะว่าใช้บริการแล้วก็โครงข่ายร่วมกันไม่ได้
ดังนี้ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ประเมินว่า อาจเป็นการอนุญาตโดยมีเงื่อนไข ส่วนเข้มข้นหรือไม่จะต้องติดตามกันอีกรอบ พร้อมยกตัวอย่าง กรณีเงื่อนไขเข้มข้น จะให้ธุรกิจขายบางกิจการออกไป แม้ไม่เข้มข้น ก็ยังให้ธุรกิจถือทรัพย์สินทุกอย่างดังเดิม แต่จะกำกับพฤติกรรม